+สอบ JLPT-3 ภายใน 5 เดือน! (จากไม่รู้อะไรเลย)+

สวัสดีคร้าบบ!

ผมห่างหายจากการอัพเดตบล็อคไปนานพอสมควรครับ อืมม.. ก็เกือบ 4 เดือนนับตั้งแต่นำเสนอผลการประกวดรายการ Brand’s Gen ไปเมื่อคราวที่แล้ว

ที่หายๆ ไปนั้นก็ไม่ใช่อะไร แต่ไปแอบซุ่มผลิตผลงานอยู่ต่างหากครับ Hot

ซึ่งในช่วง 1 เดือนแรกที่หายไป ผมก็ใช้เวลาไปกับการเตรียมสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นระดับ 3 หรือ JLPT นั่นเอง

หลายท่านที่ไม่ทราบรายละเอียดการสอบ คือสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นเนี่ย มันแบ่งเป็น 4 ระดับครับ (แต่เห็นว่าในปีหน้าจะเปลี่ยนเป็น 5 ระดับแล้ว)
ฟังดูว่าผมจะสอบระดับ
3 แสดงว่าต้องเก่งมากแล้วใช่ไหม.. ความจริงคือ.. ไม่ใช่ครับ! เพราะมันไล่ระดับความง่ายไปยาก จาก 4 ไป 1 ต่างหากครับ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า คนที่สอบได้ JLPT-4 เนี่ย จะมีเกลื่อนบ้านเมือง เป็นต้นว่าต่อให้เอา GT200 ไปสุ่มตรวจเด็กในสยาม ก็คงเจอแน่นอน

แต่คนที่ได้ระดับ 1 ส่วนใหญ่จะกลายเป็นอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นรึล่ามไปครับ เพราะถือว่ามีความสามารถในการใช้ภาษาได้เก่งที่สุดจริงๆ

 

สำหรับสาเหตุที่ผมสอบเนี่ย ก็อย่างที่เรียนไปในบล็อคครั้งก่อนๆ ว่า ผมกำลังจะไปเรียนต่อโทที่ญี่ปุ่นปลายเดือนมีนานี้ ด้วยทุนพานาโซนิค
โปรโมตอีกรอบ เข้าไปดูรายละเอียดทุนได้ที่นี่ฮะ http://panasonic.co.th/web/ccatId/maincat/299 เผื่อใครสนใจสมัครมั่ง

ซึ่งเป็นทุนให้เปล่า คือไม่ต้องกลับมาทำงานใช้ทุน และก็ไปเรียนทั้งสิ้น 3 ปี (เรียนภาษา+สอบเอนท์ 1 ปี, และก็เรียนป.โท 2 ปี)

แต่ทุนก็จะมีเงื่อนไขนิดหน่อย หนึ่งในนั้นก็คือ ผมต้องสอบภาษาญี่ปุ่นให้ได้ระดับ 3 ก่อนจะบินไปญี่ปุ่น

เอาล่ะ ก็จะมาเข้าสู่ประเด็นของบล็อคในวันนี้ นั่นคือเรื่องว่า..

 

"จากที่ไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อนเลย จนสามารถสอบ JLPT-3 ได้ภายในเวลา 5 เดือน ต้องทำอย่างไร!"

ก่อนอื่นก็ขอสารภาพครับ ว่าครั้งแรกที่ผมไปปฐมนิเทศน์ทุนพานาช่วงปลายเดือนมิถุนายน

2552 และรู้ว่าต้องสอบให้ได้ระดับ 3 ปลายปี

…ผมเครียดมากครับ Sad

เนื่องจากเกิดความกังวลมากมายเป็นต้นว่า ตูไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นเลย และชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะเรียนภาษาญี่ปุ่น ถ้าไม่ได้มีเหตุว่าต้องไปต่อโทในครานี้
แล้วอยู่ดีๆ มาให้สอบให้ได้ระดับ
3 คือกระโดดข้ามระดับ 4 ไปเลย จะทำได้ไงวะเนี่ย เวลาก็มีน๊อยน้อย Sarcastic

คิดไปคิดมาก็เลยตั้งใจว่า วันรุ่งขึ้นหลังจากปฐมนิเทศน์ ผมจะเริ่มค้นหาโรงเรียนสอนภาษาละ ว่าจะจัดคอร์สเรียนยังไงดี

ว่าแล้ว.. คืนนั้นก็คุยกะรุ่นพี่นักเรียนทุนรุ่นก่อน ว่าเค้าทำยังไงถึงสอบได้ระดับ 3 ภายในระยะเวลา 5 เดือน


ผม
: ไปลงคอร์สเรียนยังไงเหรอครับ ถึงจะเพียงพอสอบได้?

พี่นร.ทุน:  พี่ไปเรียนตัวต่อตัวกะอาจารย์(จำชื่อไม่ได้) น่ะครับ

ผม: แล้วพวกพี่คนอื่นๆ ล่ะครับ?

พี่นร.ทุน:  เค้าลงของสสท.น่ะ แต่พวกนั้นเค้าเรียนมาเรื่อยๆ อยู่แล้วนะ ไม่ใช่เพิ่งเริ่ม


สรุปคือ.. แย่แล้วครับ เพราะเปิดดูเวปเรียนภาษาญี่ปุ่นตัวต่อตัวนี่ เห็นหมดเงินเป็น
4-5 หมื่นครับ
ดังนั้นผมเลยลองหาคอร์สเรียนอื่นๆ ที่เป็นหลักสูตรเร่งรัดดู ว่าตั้งแต่เดือน กค
.ถึง พย. (สอบวันที่ 6 ธันวา) รวมเวลาแล้ว 5 เดือน จะมีที่ไหนสอนจบมั่ง

เริ่มแรก ผมเข้าไปดูเวปสสท.ครับ เนื่องจากติดหูมาจากพี่นร.ทุน และก็ฟังดูน่าเชื่อถือดี
เวปนี้นะครับ http://www.tpa.or.th/slc/
ปรากฎว่า เค้ามีหลักสูตรเร่งรัดตระกูล "JI"
 ครับ ถ้าลงเรียนแบบเร่งรัดตั้งแต่เริ่มต้น JI1 จนจบ JI4 คือสอนจบหนังสือ minnano nihongo ทั้ง 4 เล่ม

มีเนื้อหาไวยากรณ์ คันจิ คำศัพท์ ครอบคลุมเพียงพอต่อการสอบระดับ 3  จะต้องใช้เวลา 7 เดือนเศษครับ

เปิดดูปฏิทินแล้ว ตั้งแต่เรียนวันแรกคอร์ส JI1 จนถึงวันสอบผมจะเรียนไปถึงแค่กลางๆ JI3 .. ซึ่งมันไม่ทันนิเฟร้ยย!! Crying

ดังนั้นผมเลยคิดแผนการใหม่ว่า จะไปสอบเข้า JI2 เลย (ข้าม JI1) เพื่อที่จะได้ย่นระยะเวลา ทำให้เรียนได้เกือบจบ JI4 เมื่อถึงวันที่จะสอบวัดระดับ

นับจากวันนั้นถึงวันสอบเทียบเข้าชั้นเรียน ผมมีเวลาอ่าหนังสือ minnano nihongo เล่ม 1 ประมาณ 2 อาทิตย์ครับ

หนังสือ minano เล่ม 1 มี 13 บทครับ ดังนั้นผมเลยแพลนคร่าวๆ ไว้ว่าอ่านวันละบทก็ทันนิ สบายจริงๆ
แต่เอ๊ะ นี่เรายังเขียนฮิรากานะ กะคาตาคานะ (ตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น) และคันจิไม่คล่องเลยนี่หว่า..

สรุปแล้ว ช่วงเวลา
2 อาทิตย์ที่มี ผมวุ่นไปกะการฝึกคัดฮิรากานะ คาตาคานะ คันจิ รวมไปถึงท่องคำศัพท์และไวยากรณ์ในหนังสือ minnano เล่ม 1 ครับ

 

และแล้ว… ก็ถึงวันสอบเข้า ผมก็นั่งรถไฟฟ้าไปลงอโศกแล้วเดินต่อไปสสท.ในซอยสุขุมวิท 29
ผมเข้าไปในห้องที่เจ้าหน้าที่ชี้ๆ ให้เดินไป พบว่าเป็นห้องที่พวกนักเรียนจากชั้นเรียน
JI1 นั่งรอสอบครับ ช่วงแรกจะเป็นการสอบสนทนาก่อน
ระหว่างนั่งเสล่อรอสอบอยู่ในห้อง (ไม่รู้จักใครเลย แต่คนอื่นเค้ารู้จักกันหมดแล้ว เพราะเรียนมาด้วยกัน)  ก็แอบๆ ฟังเค้าคุยกันเรื่องข้อสอบ

พบว่าเค้ามีแนวข้อสอบที่เก็งไว้ว่าอาจารย์จะถาม เป็นต้นว่า ชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน วันเกิด

ซึ่ง… คนที่เรียนภาษาด้วยตัวเองจะทราบว่า ไอ้เรื่องแบบนี้ใครจะไปฝึกมาล่ะคร้าบบ!! ดังนั้นผมก็ตาเหลือกละ นั่งฟังๆ จำๆ ไปให้เยอะที่สุด

เมื่อถึงเวลาสอบผู้เข้าสอบแต่ละคนก็จะเดินออกไปหน้าห้องเรียนซึ่งเป็นทางเดินยาว มีม้านั่ง อาจารย์ก็จะนั่งรออยู่ตรงนั้น

อาจารย์: โอะนามะเอะวะ (ชื่ออะไรน่ะเรา)

ผม: แก๊ปเดส

อาจารย์: โอะทานโจวบิวะ  (วันเกิดล่ะ)
ผม
: (เสร็จตู เมื่อกี้แอบฟังโพยมา) 1987เน็น1เก็ตซุ22เดส

อาจารย์: $##!$%$%#$@!!

ผม: (ห๊า??) เอ่อ โมะอิชิโตะ (ขออีกครั้ง)
อาจารย์
: $##!$%$%#$@!!

ผม: ง่า วาคาริมะเซ็น (ไม่รู้คับ)

สรุปคือ เค้าถามมา 10 ข้อ ผมฟังออกแล้วตอบได้แค่ 2 ข้อ ดังนั้นคะแนนคงห่วยอย่างชัดเจนครับ

ต่อมาช่วงหลังเบรคก็เป็นวัดไวยากรณ์กะคำศัพท์ครับ ซึ่งผมก็รู้สึกว่าทำได้ประมาณครึ่งนึงเท่านั้น คันจิก็ลืมๆ เลยทำไม่ค่อยได้

หลังจากนั้นอีก 3 วันผมก็โทรไปสอบถามผล ปรากฎว่า ไม่ผ่านครับ – -"

ดังนั้นทำให้ผมชักเครียดละ ว่าจะทำไงดีล่ะเนี่ย แบบนี้ยิ่งเสียเวลาเข้าไปใหญ่ เหลือแค่ 4 เดือน 3 อาทิตย์ก็จะสอบแล้ว ยังไม่มีที่เรียนภาษาเลยแฮะ

เลยต้องลองหาสถาบันสอนภาษาแห่งใหม่ครับ ที่เค้าจะมีเปิดสอนแบบเร่งรัด และสอนจบก่อนสอบวัดระดับ

 

ค้นหาข้อมูลไปมา ผมก็เลยกลับมาตายรังที่สถาบัน J-education center ครับ

เข้าเวปนี้ครับ http://www.jeducation.com/center/index.html

ที่ J-education นี้ ผมเคยลงเรียนคอร์สแบบไม่เร่งรัดระดับเบื้องต้นสุดสัปดาห์ละ 3 ชม. โดยเรียนมาประมาณ 2 เดือนแล้ว(ตอนแรกก็ลงๆ ไปเพื่อเป็นพิธี)

โดยผมพบว่า  เค้ากำลังจะเปิดคอร์ส  Intensive ระดับกลางครับ คือเนื้อหาครอบคลุมการสอบระดับ 3 และที่สำคัญ สอนจบภายในปลายเดือนกันยา

เรียนวันจันทร์ถึงพฤหัสบ่ายโมงถึงบ่ายสี่ คือใช้เวลาเพียง 2 เดือนครึ่งเท่านั้น! โอ้วว!! Tongue out 

แต่ทั้งนี้ การเข้าเรียนในระดับนี้ได้ ต้องอ่านหนังสือ minnano nihongo จบเล่ม 2 ครับ และเหลือเวลาอีก 1 อาทิตย์กว่าๆ จะถึง deadline สอบเข้า

ผมเลยต้องอ่านหนังสือเองอีกรอบครับ ตั้งใจไว้ว่าคราวนี้จะไม่พลาดเหมือนตอนที่ไปสอบสสท.แล้ว!

 

เวลาผ่านไปเร็วมาก ก็มาถึงวันสอบเข้าอีกรอบ..

ผมไปถึงที่ตึก liberty ตรงหัวมุมซอยคอนแวนต์ ถนนสีลม กดลิฟท์ไปชั้น 23 ไปยังสถาบัน J-education

ครางนี้กลับกันครับ เนื่องจากเป็นการสอบเทียบ เจ้าหน้าที่เลยให้ข้อสอบภาษาญี่ปุ่นที่ไล่ระดับง่ายไปยาก เพื่อดูว่าผมทำได้ถึงข้อไหน

เสร็จแล้วก็จะมาคอนเวิร์ตเป็นคะแนนกลับไปว่าความรู้พอจะเรียนระดับกลางได้รึเปล่า

มีเวลาให้ 1 ชม.ครับ ผมก็นั่งทำๆ ไปเรื่อย ช่วงข้อแรกๆ ก็รู้สึกว่าโคตรง่ายเลยครับ แบบนี้มีหวังได้อยู่ระดับสูงชัวร์ กรั่กๆ

ต่พอผ่านไปหน้าสองหน้าสาม ข้อสอบมันก็จะเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ ครับ ทำให้ผมกลับมาสู่โหมดเครียดทันที

หมดเวลา ปรากฎว่าผมทำได้ประมาณ 5 หน้าครับ (มีประมาณ 8 หน้า) ก็พอลุ้นๆ ว่าจะผ่านไหมหว่า

ระหว่างที่เค้าตรวจคำตอบ ก็มาสอบสัมภาษณ์มั่ง อาจารย์ญี่ปุ่นก็มานั่งหน้าผมที่โต๊ะในห้องนั่งเล่น แล้วมีกระดาษคำถามมาถามเหมือนเดิม

อาจารย์: โอะนามะเอะวะ (ชื่ออะไรน่ะเรา)

ผม: แก๊ปเดส  

อาจารย์: โอะทานโจวบิวะ  (วันเกิดล่ะ)
ผม
: (เฮ่ย ถามเหมือนสสท.เลยนี่หว่า สุดยอดไปเลย) 1987เน็น1เก็ตซุ22เดส

อาจารย์: &*&*(%#$%!#$

ผม: (…) เอ่อ โมะอิชิโตะ (ขออีกครั้ง)
อาจารย์
: &*&*(%#$%!#$

ผม: ง่า วาคาริมะเซ็น (ไม่รู้คับ)

สรุปแล้ว ตอบไม่ได้เหมือนเดิมครับ – -"

หลังจากผ่านไป 10 นาที สรุปคะแนนออกมา พบว่าผมความสามารถอยู่แค่ Beginner-3 ครับ คือยังไม่ถึงระดับกลาง (Intermediate)

แบบนี้ก็แย่สิครับ!

แต่เดี๋ยวก่อนนน… อาจารย์ก็คุยอะไรซักอย่างกับเจ้าหน้าที่ต่อหน้าผม (เป็นภาษาญี่ปุ่น ฟังไม่ออก)

แล้วเจ้าหน้าที่ก็แปลให้ผมฟังบอกว่า งั้นจะลองสอบข้อสอบระดับ Beginner-4 ดูไหม คือถ้าผ่านก็ให้เรียนระดับกลางได้

ขยายความครับ คือที่ J-education เนี่ย เค้าแบ่งคอร์สเป็นระดับเริ่มต้นคือ B1-B4 ระดับกลาง I1-I3 ระดับเตรียมสูง P1-P4 ฯลฯ

นั่นคือเด็กที่จบคอร์ส B4 ก็จะสอบเพื่อเข้า I1 ต่อประมาณนั้น ดังนั้นถ้าผมสามารถทำข้อสอบระดับ B4 ได้ ก็จะ ok

ดังนั้น ผมก็ต้องรับข้อเสนอนี้สิครับ เดี๋ยวไม่มีที่เรียนกันพอดี!

ผ่านไป 1 ชม.  ก็ทำข้อสอบเสร็จหมดทุกข้อครับ

เจ้าหน้าที่ก็เอาไปตรวจ ผลปรากฎว่า ได้ 72/100 ครับ ซึ่งเกณฑ์การสอบผ่านคือ 70 คะแนน ดังนั้นสอบผ่านมา 2 คะแนนครับ เฮ! ได้เรียนแล้ว!! Hot

 

ทำให้ในช่วงกลางเดือนกรกฏาคมถึงปลายกันยายน ผมใช้เวลาไปกับการเรียนภาษาญี่ปุ่นทุกบ่ายตั้งแต่วันจันทร์ถึงพฤหัส

และตกกลางคืนก็จะนั่งทำการบ้าน คัดคันจิ อะไรพวกนี้อยู่เป็นนิจ

ในห้องเรียนนั้นก็มีนักเรียน 12 คนครับ นั่งเป็นครึ่งวงกลมอาจารย์ยืนตรงกลาง แบ่งเป็นช่วงพัก 2 ช่วงคือบ่าย 2 กะบ่าย 3 ทำให้ไม่เครียดจนเกินไป

ซึ่งการเรียนคอร์สเร่งรัดแบบนี้ทำให้ภาษาญี่ปุ่นของผมพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว Smile

หลังจากจบคอร์สเร่งรัดระดับกลาง ผมก็สมัครคอร์สติวสอบวัดระดับ JLPT-3 ต่อครับ ที่ J-education

เรียนทุกเย็นวันอังคารพฤหัส เวลา  18.30 ถึง 20.30 เริ่มตั้งแต่ปลายกันยาไปจนต้นธันวาครับ

ซึ่ง… คอร์สนี้จะเน้นทบทวนคำศัพท์ คันจิ และไวยากรณ์ที่จะใช้ในการสอบ JLPT-3 ครับ

ดังนั้น ผมพูดตามตรงไม่ได้โปรโมต ให้ตายก็ต้องลงให้ได้ครับคอร์สนี้ เพราะจะช่วยตีกรอบการอ่านหนังสือเตรียมสอบวัดระดับได้ดีมากครับ

อีกอย่างที่เป็นข้อดี คือคอร์สนี้อาจารย์เป็นคนไทยครับ ตอนแรกผมก็คิดว่า อาจารย์ไทยจะดีป่าวหว่า เพราะปรกติเรียนกะอาจารย์ญี่ปุ่น

แต่ปรากฎว่า ด้วยความที่อาจารย์พูดไทยได้ ทำให้ผมได้ไขข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับไวยากรณ์ได้มากโขเลยฮะ

เนื่องจากการอธิบายด้วยภาษาไทยนั้นมันลึกซึ้งกว่าและเข้าใจง่ายนั่นเองครับ

 

หลังจากเรียนจบคอร์สติวสอบวัดระดับ ผมก็ใช้เวลาทบทวนคำศัพท์กะคันจิซะส่วนใหญ่

ส่วนวันก่อนหน้าวันสอบก็ทำเหมือนตอนสอบเอนท์คือ ไม่แตะหนังสือพวกนั้นอีก เพราะเดี๋ยวจะลมปราณแตกซ่าน 55+

 

และแล้ว วันสอบก็มาถึง…

เป็นอะไรที่เลวร้ายมากครับ จัดสอบที่มธ.รังสิต เข้าสอบ 9 โมง ด้วยความที่บ้านผมอยู่บางนาและนัดเพื่อนให้ไปด้วยกันไว้ที่จุฬา ทำให้ต้องตื่นตั้งแต่เช้า

หลังจากรอเพื่อนคนสุดท้ายที่ติดเด็กแว๊นปิดถนนวิภาวดี ก็ออกเดินทางด้วยการเรียก taxi ไปมธ.ครับ

การสอบแบ่งเป็น 3 ช่วงหลัก คือ 1.ข้อสอบคำศัพท์(100 คะแนน) 2.สอบฟัง(100 คะแนน) 3.สอบไวยากรณ์(200 คะแนน) แต่ละช่วงมีเวลาไม่เท่ากัน

ข้อสอบก็จะเป็นแบบฝนทั้งหมด เหมือนที่เคยทำตอนเรียนมัธยมนั่นแหละ 

แต่ข้อสอบฟังนี่จะแปลก คือมีให้ฝนข้อที่ถูกกับข้อที่ผิด เช่นว่าใน 4 ช้อยส์ ABCD รู้สึกว่าข้อ B ถูก ก็ต้องฝนว่าอันที่ถูกคือ B อันที่ผิดคือ ACD
สาเหตุที่ต้องฝนแบบนี้ ผมสรุปเอาเองว่า เป็นเพราะเวลาฟัง CD อ่าน เค้าจะอ่านคำตอบทีละข้อ
ดังนั้นถ้าให้ฝนแค่คำตอบที่ถูก คนที่ทำไม่ได้ก็จะเงยหน้ารอดูว่า เฮ่ย ข้อไหนคนส่วนใหญ่ในห้องสอบก้มหน้าฝนกัน ก็จะฝนมั่งตามชาวบ้าน

แต่ถ้ามีให้ฝนถูกกะผิด ก็จะไม่รู้ว่าที่คนอื่นฝนๆ กันไปนั้น เค้าฝนข้อถูกหรือข้อผิดหว่า.. สรุปคือ ป้องกันการลอกนั่นเอง

สอบเสร็จแต่ละช่วง ก็จะมีเบรคให้ 10 นาที ให้ออกมายืนสูดอากาศนอกห้อง ส่วนในห้องเค้าก็จะเก็บข้อสอบที่เราวางไว้บนโต๊ะ และจัดให้ใบคำถามใหม่

อ่ออ ในตอนที่ไปสอบ ผมเตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วยครับ เพราะกลัวว่าถ้าอยู่ดีๆ เกิดตื่นเต้น หนาวขึ้นมา จะสภาพร่างกายไม่พร้อมคิดไม่ออก 55+
ข้อสอบช่วงที่ 1 คือคันจิคำศัพท์ ผมรู้สึกว่า มันก็เหมือนๆ กะที่อ่านมาจากชีทติวเตรียมสอบวัดระดับ มีบ้างที่ลืมว่าตรงนี้มีขีดรึไม่มี เลยเดาๆ ไป 2-3 ข้อ

ข้อสอบช่วงที่ 2 การฟัง… ถือว่าเป็นนรกของผมครับ เพราะการฟังต้องมีสมาธิอย่างแน่วแน่ และต้องฟังให้จบประโยค ทำให้ถ้าหลุดแล้วก็หลุดเลย

ช่วงสุดท้าย คือไวยากรณ์ เนื่องจากส่วนนี้มีคะแนนมากที่สุด คือ 200 คะแนน ทำให้ผมเตรียมตัวมากเป็นพิเศษ และชอบทำ part นี้มากที่สุดครับ

หลังจากสอบเสร็จ ก็เดินออกมา พูดคุยกับเพื่อนที่มาด้วยกัน ส่วนใหญ่ก็จะบ่นว่ายากฮะ เพราะมันบอกว่า ยังอ่าน minnano ไม่จบเลย

ดังนั้น ย้ำอีกรอบ .. ลงคอร์สติวเตรียมสอบนะครับ อย่าลืม 55+

..

..

และแล้ว ผ่านไป 2 เดือนเศษ เมื่อวันที่ 24 กพ ที่ผ่านมาผลสอบก็ส่งมาถึงบ้านผมครับ

ผมเคยได้ยินมาว่า คนที่สอบผ่านจะได้ซองหนาเนื่องจากมีใบประกาศให้มาด้วย ส่วนคนที่ไม่ผ่านจะได้ซองบาง คือมีแค่ใบคะแนน

ทว่า.. เฮ่ย! ที่วางอยู่บนโต๊ะมันซองบางนี่หว่า!!

ผมตกใจมากครับ ทั้งๆ ที่รู้สึกว่าทำได้แท้ๆ ทำไมเกิดอะไรขึ้น เลยรีบแกะซองดู

..ปรากฎว่าเขียนว่า "PASSED" ครับ – -"

..และก็มีใบประกาศยับยู่ยี่แนบให้มาด้วย เข้าใจว่าเค้าคงรีบส่งมั้งครับ

แต่เอาเถอะ ผมก็ไม่ได้จริงจังอะไรกับความเรียบของกระดาษมากขนาดนั้น

ทีนี้มาดูคะแนนครับ..

คำศัพท์+คันจิ: 89/100

การฟัง: 48/100

ไวยากรณ์: 193/200

รวมได้คะแนน 330/400 คิดเป็น 82.5%   

ซึ่งในการสอบวัดระดับ JLPT4 – JLPT2 นั้น ตัดว่าผ่านไม่ผ่านที่คะแนนรวม 60% ครับ ในขณะที่ JLPT1 เป็น 70% นั่นเอง

สำหรับข้อมูลการสอบวัดระดับแบบใหม่ ดูได้ที่นี่ครับ http://www.jeic-bangkok.org/?การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น(jlpt),29

 

ทีนี้ มาสรุปกันดีกว่าครับ ว่าจากที่ผมไม่รู้เรื่องภาษาญี่ปุ่นเลย จนสอบวัดระดับ JLPT-3 ได้ภายใน 5 เดือนต้องทำอย่างไร

1.อ่านหนังสือ minano nihongo เล่ม 1,2 จบด้วยตัวเอง ภายใน 3 อาทิตย์

2.ไปสอบเทียบเข้าเรียนคอร์สเร่งรัด เรียนใช้เวลา 2.5 เดือน

3.ตอนใกล้จะจบคอร์สเร่งรัด ไปสมัครเรียนคอร์สติว เรียนติวเรื่อยๆ อังคาร พฤหัสรวม 2 เดือน

ซึ่งเทคนิคนี้ คิดว่าคงมีประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังจะไปเรียนต่อญี่ปุ่น รึได้ทุนไม่ว่าจะมอน พานา ฯลฯ ครับ

 

สุดท้ายก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่กำลังคิดจะเรียนภาษาญี่ปุ่น รึจะไปศึกษาต่อ ได้เตรียมตัวเตรียมความพร้อมล่วงหน้าก่อนเดินทาง

และที่มาเล่าสู่กันฟังในคราวนี้ ก็เพื่อให้ทุกท่านที่ต้องเจอสถานการณ์เดียวกะผม คือต้องสอบ JLPT3 (รึ N4) ให้ได้ภายใน 5 เดือน จะได้มีแนวทางครับ

แต่เอ.. ในเมื่อบล๊อคนี้เป็นบล็อคนักประดิษฐ์ ไม่ใช่บล็อคแนะแนวเรียนภาษาญี่ปุ่น

ก็ขอทิ้งไว้ด้วย เรื่องที่จะมานำเสนอคราวหน้าครับ..

รถเข็นไฟฟ้าปรับเอนนอน ที่สามารถพับเก็บใส่ท้ายรถ(ที่ติดแก๊ส)ได้Surprised

อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งโปรเจคที่ผมแอบไปซุ่มทำในช่วง 2-3 เดือนหลังสอบภาษาญี่ปุ่นเสร็จครับ ในฐานะผู้ช่วยนักวิจัยที่ lab อ.มานะ ศรียุทธศักดิ์  

และก็จะมีน้องๆ ภาคไฟมาร่วมพัฒนาวงจรควบคุมด้วย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะได้ส่งต่อโปรเจคเพื่อผู้พิการให้กับรุ่นน้อง ก่อนผมไปเรียนต่อฮะ

ในส่วนรถเข็นฟ้า เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็จะเอาไปให้กับผู้ป่วยอัมพาตระดับ C4 (ขยับได้แต่ศีรษะ) ครับ 

 

นอกจากนี้ก็มี โปรเจคแขนกลคนพิการ Ver.2 ที่ผมทำควบคู่กันไป ทว่าอันนี้ทำคนเดียว.. เหนื่อยอีกแล้วแฮะ 

แต่ก็เอาเถอะครับ ทั้งสองโปรเจคนี้ ผมก็คาดหวังว่าจะทำให้เสร็จก่อนไปญี่ปุ่น (ไป 29 มีนานี้ เหลือเวลาอีก เดือนนึง)

ถึงทำให้ทันเสร็จและส่งมอบให้ผู้ป่วยได้ อย่างน้อยๆ ก็มีคนสองคนที่คุณภาพชีวิตดีขึ้นฮะ Wink

ยังไงก็รอติดตามนะครับ.. ว่าลูกเล่นของมันมีอะไรบ้าง และจะช่วยผู้ป่วยอัมพาตได้อย่างไร

แล้วพบกันอีกทีบล็อคครั้งหน้าครับ คิดว่าไม่นานเกินรอ 555+

ขอบคุณที่ติดตามครับ! Wink

 

This entry was posted in Daily Experience. Bookmark the permalink.

15 Responses to +สอบ JLPT-3 ภายใน 5 เดือน! (จากไม่รู้อะไรเลย)+

  1. LoOktaRn says:

    เห้ย~ แก๊ป เพิ่งเห็นผลงานล่าสุด สุดยอดไปเลย ^^~เก่งมากจ้าา อัพบล๊อคอย่างเป็นประโยชน์อีกตะหากดีใจด้วยนะจ๊ะเพื่อน(เขย) ^^~

  2. erosszaa says:

    ขอบคุณสำหรับบทความดีๆนะครับ
    มันเป็นบทความที่ทำให้ผมได้ตัดสินใจที่จะลองแล้วก้าวเดินแม้มันจะลำบากก็ตาม
    ผมไม่อยากจะเรียนหลักสูตรทั่วไป ซึ่งใช้ระยะเวลายาวนานในการเรียน กว่าจะไปให้ได้ดั่งที่ตั้งใจเอาไว้ ผมไม่คิดจะเรียนเล่นๆสนุกๆ แต่ผมจริงจังและมุ่งมั่น ว่าจะต้องผ่านระดับ N3 N2 ไปให้ได้ แม้ว่ามันจะนานสักหน่อย แต่ตั้งเป้าไว้ว่าไม่เกิน 5 ปีจะต้องผ่าน N2ให้ได้

    ขอบคุณสำหรับบทความนี้อีกครั้งครับ เป็นแรงผลักดันให้ผมจริงๆ
    ผมเกือบจะปล่อยวางเพราะ หลักสูตรทั่วไป ที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน มันทำให้ผมท้อ จนคิดว่า
    “ชีวิตนี้คงไม่ทันการที่จะทำความฝันให้เป็นจริง เราดันมองเห็นสิ่งที่ตัวเองชอบและต้องการช้าเกินไปแล้วสินะ”

    • gaprobot says:

      ก่อนอื่นต้องขอบคุณครับ ที่เสียเวลาเข้ามาเยี่ยมชมบล๊อคนี้
      และการได้ยินความคิดเห็นว่า สิ่งที่ตนได้เขียนไปนั้นมีประโยชน์กับผู้อื่น มันก็เป็นกำลังใจให้ผมพยายามเขียนบล๊อคต่อไปครับ
      ก็ขอให้คุณ erosszaa โชคดีครับ สำหรับการเรียนภาษาญี่ปุ่น ผมเองขณะนี้ก็ยังเรียนต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ค้นพบว่า สิ่งที่สำคัญของภาษาญี่ปุ่นก็คือคันจิกับคำศัพท์ฮะ ต้องพยายามคัดและท่องเก็บไปเรื่อยๆ .. ส่วนบุนโปนั้นให้พยายามฝึกตอนเีขียนเรียงความฮะ เปิดหนังสือควบคู่ฝึกใช้บุนโปใหม่ๆ ไประหว่างเขียน จะทำให้เราคุ้นเคยกับมันในที่สุดฮะ
      สวัสดีปีใหม่ครับ!

  3. JLPT examination says:

    [ คู่มือติวสอบ ข้อสอบเก่า วัดระดับภาษาญี่ปุ่น JLPT & admission ]

    ขออนุญาตินำเสนอ คู่มือสอบภาษาญี่ปุ่นดังต่อไปนี้ค่ะ

    —{ คู่มือสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น JLPT }—

    (1) ข้อสอบเก่าของทุกระดับ 1 2 3 4 N1 N2 N3 N4 N5 ตั้งแต่ปี 1991 – 2010
    (2) รวมสรุปไวยกรณ์ของทุกระดับ 1 2 3 4 N1 N2 N3 N4 N5
    (3) รวมสรุปคำศัพท์,คันจิของทุกระดับ 1 2 3 4 N1 N2 N3 N4 N5
    ***PROMOTION*** ทุกๆการสั่งซื้อ 600 บาท รับ FREE CD ข้อสอบระบบใหม่ ปี 2010

    —{ คู่มือสอบเข้ามหาวิทยาลัยภาษาญี่ปุ่น }—

    (1) ข้อสอบเก่า ตั้งแต่ปี 2541 – 2547
    (2) รวมสรุปไวยกรณ์ สำหรับสอบเข้ามหาวิทยาลัย
    (3) รวมสรุปคำศัพท์,คันจิ สำหรับสอบเข้ามหาวิทยาลัย

    หากสนใจ ติดต่อขอรายละเอียดได้ที่ jlpt.examination@gmail.com

  4. Lala Newtan says:

    บล็อคนี้เป็นประโยชน์มากๆๆเรยค่ะ เรามีแผนว่าจะไปญี่ปุ่น ปีหน้าเพิชื่อเรียนต่อทางด้านภาษา แต่ไม่มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นเท่าไหร่ รู้แค่งูๆๆปลาๆ บล็อคนี้จึงมีประโยชน์กับเรามากๆๆ ขอบคุณนะค่ะ 🙂

    • gaprobot says:

      โอ้ เต็มที่นะครับ ถ้ามาเรียนก็อย่างลืมมางานรับน้องคันโตนะครับ จัดช่วงกลางๆ ปี จะได้รู้จักคนไทยที่นี่เพิ่มขึ้น และช่วงปลายๆ เดือนธันวาก็จะมีทริปสกีนักเรียนไทยในญี่ปุ่นฮะ ถ้ามีเวลาก็ไปเฮฮากันได้ครับ!

      อันนี้เวปไซต์สมาคมนักเรียนไทยในญี่ปุ่นฮะ: http://tsaj.org/home/

  5. Yuki says:

    พี่ขา…ก้อระดับสามมันง่าย หนูก็สอบระดับสี่ถึงสองสอบปีละระดับ

    แต่ระดับหนึ่งสอบมาสี่ปีแล้ว อยากตาย T.T

    • gaprobot says:

      สู้ต่อไปนะคร้าบบ อย่าเพิ่งคิดสั้นนน T~T ตอนนี้ผมก็ยังไม่ผ่าน N2 ครับ 😛

  6. chiroi says:

    ขอบคุณมากๆ ค่ะ มีกำลังใจขึ้นเยอะ เพราะตอนนี้ก็เหมือนกับคุณเลยแต่แค่ไม่ใช่เพื่อเรียนต่อ แต่เพื่อต้องการเป็นล่าม เบื่อทำทัวร์แล้ว อยากมีชีวิตที่ไม่ต้องเดินทางทุกวัน ยังไงก็จะติดตามเข้ามาอ่านบ่อยๆ ค่ะ

  7. onanong says:

    อ่านของพี่แล้วมีประโยชน์มากเลยค่ะ ตอนนี้หนูยุม.5 จบม.6 กะว่าจะไปสอบทุนหมอญี่ปุ่น ขอบคุนสำหรับการแนะนำนะค่ะ

  8. Jackie says:

    ระดับ 5 เก่าหรอคับ

  9. Jackie says:

    ระดับ3เก่าหรอคับ

  10. biya says:

    ขอบคุณค่ะสำหรับเรื่องราวดีๆของพี่ทั้งๆที่พี่เพิ่งจะหัดเรียนภาษาญี่ปุ่นเมื่อไม่นานเเต่พี่ก็สอบวัดระดับจนได้ ทำให้หนูกลับมาถามตัวเองว่า “เฮ้ยเราเรียนมาตั้งหลายปีทำไมเราจะทำไม่ได้ว่ะ” อันที่จริงมะกี้หนูเพิ่งโยนหนังสือออกห่างๆตัวเลยค่ะรู้สึกเครียดกับตัวภาษาญี่ปุ่นเเล้วเกิดคำถามในใจว่า “ทำ ทำไมว่ะ เราอยากจะรู้ไปทำไมภาษาเขาภาษาพ่อภาษาเเม่ก็ไม่ใช่เรียนทำไมว่ะ “เเล้วมันก็คิดฟุ่งซ่านค่ะว่าเพื่อนคนอื่นทำไมทำได้ว่ะเราคงทำไม่ได้เเน่เลยลองมาเปิดคอมเพื่อหาเเรงบรรดาลใจในการอ่านเเละหาเหตุผลว่าทำไมเราต้องทำ เเละเหตุผลที่ต้องทำเพราะตัวเราเองไม่ใช่ใคร ขอบคุณพี่มากค่ะทำให้อยากที่จะสู้ต่อไป

  11. ขอบคุณค่ะสำหรับเรื่องราวดีๆของพี่ทั้งๆที่พี่เพิ่งจะหัดเรียนภาษาญี่ปุ่นเมื่อไม่นานเเต่พี่ก็สอบวัดระดับจนได้ ทำให้หนูกลับมาถามตัวเองว่า “เฮ้ยเราเรียนมาตั้งหลายปีทำไมเราจะทำไม่ได้ว่ะ” อันที่จริงมะกี้หนูเพิ่งโยนหนังสือออกห่างๆตัวเลยค่ะรู้สึกเครียดกับตัวภาษาญี่ปุ่นเเล้วเกิดคำถามในใจว่า “ทำ ทำไมว่ะ เราอยากจะรู้ไปทำไมภาษาเขาภาษาพ่อภาษาเเม่ก็ไม่ใช่เรียนทำไมว่ะ “เเล้วมันก็คิดฟุ่งซ่านค่ะว่าเพื่อนคนอื่นทำไมทำได้ว่ะเราคงทำไม่ได้เเน่เลยลองมาเปิดคอมเพื่อหาเเรงบรรดาลใจในการอ่านเเละหาเหตุผลว่าทำไมเราต้องทำ เเละเหตุผลที่ต้องทำเพราะตัวเราเองไม่ใช่ใคร ขอบคุณพี่มากค่ะทำให้อยากที่จะสู้ต่อไป

  12. Nut Piya says:

    มีประโยชน์มากเลยครับ พออ่านแล้วทำให้รู้สึกเครียดตามเจ้าของบล็อคเลยครับ ^^ แต่ก็สัมผัสถึงความตั้งใจของเจ้าของบลอค ได้เลยครับ ขอขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆ ครับ

Leave a comment